หนึ่งในปัญหาผิวที่เป็นที่หนักใจของผู้หญิงทั่วโลกก็คือ ฝ้า เพราะมีรอยสีน้ำตาลหรือดำที่เด่นชัดเจน โดยเฉพาะฝ้าแดด ทำให้สูญเสียความมั่นใจเพิ่มขึ้นทุกวัน เพราะฉะนั้นการเข้าใจเกี่ยวกับฝ้าและการเลือกวิธีการรักษาที่ถูกต้องแบบไม่มีผลข้างเคียง ไม่เพียงช่วยลดเลือนฝ้า แต่ยังทำให้เผยผิวและใช้ชีวิตอย่างมั่นใจ มีสุขภาพดีในระยะยาว
ฝ้า เกิดจากการที่เมลานินหรือเม็ดสีมีมากเกินไป ทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นมีรอยสีน้ำตาลเข้มไปจนถึงสีดำ (Hyperpigmentation) และจะมีปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ อาจมีลักษณะเป็นปื้นหรือเข้มเป็นกระจุกได้ สิ่งที่น่าสนใจคือ ฝ้าไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายและส่วนใหญ่พบในวัยกลางคน อายุประมาณ 30-40 ปี
ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าคือ รังสี UV ในแสงแดด การกินยาคุมกำเนิด การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนขณะตั้งครรภ์ การเข้าสู่วัยทองและวัยหมดประจำเดือน การใช้เครื่องสำอางบางชนิดที่มีผลต่อการแพ้และกระตุ้นให้เม็ดสีเมลานินบนผิวเกิดการเปลี่ยนแปลง รวมถึงกรรมพันธุ์ที่ทำให้ฝ้ากลับมาเป็นซ้ำได้บ่อยครั้ง ซึ่งคนผิวเข้มมีโอกาสเป็นฝ้าง่ายกว่าคนผิวขาวอีกด้วย
ทำไมถึงเป็นฝ้า?
ลักษณะการเกิดฝ้า ฝ้ามีด้วยกัน 3 ชนิด ได้แก่
1) ฝ้าแบบตื้น เกิดได้ง่าย อยู่ในระดับผิวหนังกำพร้า (ผิวหนังชั้นนอก) มีสีน้ำตาลขอบชัด รักษาให้จางลงได้ด้วยการทาครีมกันแดดหรือยาทาฝ้าอ่อน ๆ
2) ฝ้าแบบลึก เกิดในระดับชั้นผิวหนังแท้อยู่ลึกกว่าผิวหนังกำพร้า มีสีม่วง ๆ อมน้ำเงิน ขอบเขตไม่ชัดเจน รักษาได้ยากกว่าฝ้าแบบตื้น ไม่ค่อยหายขาด
3) ฝ้าแบบผสม เกิดทั้งในระดับชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้รวมกัน โดยตรงกลางมักมีสีเข้มแสดงถึงฝ้าในชั้นหนังแท้ ส่วนขอบมักมีสีจางกว่าแสดงถึงฝ้าในหนังกำพร้า ฝ้าชนิดนี้ยังเป็นฝ้าที่พบได้มากที่สุดอีกด้วย
วิธีป้องกันฝ้า กระ
- หลีกเลี่ยงแสงแดด โดยเฉพาะแดดช่วง10.00-16.00 น. ก่อนออกแดดทุกครั้งควรใช้ร่มที่ป้องกันรังสียูวี สวมหมวก ใช้ผ้าคลุม
- การทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ เพื่อปกป้องผิว โดยเลือกที่มี SPF30+ ขึ้นไป เพื่อป้องกันยูวีเอ และมีค่าป้องกัน PA2+ ขึ้นไป เพื่อป้องกันยูวีเอ โดยควรทาครีมกันแดดก่อนที่จะออกแดด 30 นาที
- ใส่ใจดูแลผิวหน้า อาจดูแลด้วยครีมบำรุง หรือการเติมวิตามินผิว ให้แข็งแรงด้วยเมโสหน้าใส (Mesotheraphy) คือ ทรีทเม้นท์บำรุงผิว ซึ่งเป็นทางลัดในการนำส่วนผสมที่มีอยู่ในครีมต่าง ๆ
โดยเฉพาะตัวที่ดูดซึมจากการทาได้ยาก มาทำให้สามารถฉีดเข้าในชั้นผิวได้โดยตรง และออกฤทธิ์ไวขึ้น ช่วยเพิ่มคอลลาเจนในชั้นผิวเพื่อให้ผิวเต่งตึงได้ครับ
- หลีกเลี่ยงยา ฮอร์โมนที่เป็นต้นเหตุให้เกิดฝ้า หรือยาเพิ่มฮอร์โมนอื่น ๆ เช่น ยาคุมกำเนิด อาจจะต้องเปลี่ยนการคุมกำเนิดโดยต้องปรึกษาแพทย์ก่อน
- พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน รวมถึงหลีกเลี่ยงความเครียด ขับถ่ายให้เป็นเวลา เพราะมีผลต่อฮอร์โมนในร่างกายทำงานได้ไม่ค่อยดี ส่งผลให้เมลานินทำงานผิดปกติ เกิดรอยฝ้า กระได้ชัดมากยิ่งขึ้น
- รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น มะเขือเทศ ฝรั่ง ส้ม ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
- เลี่ยงการใช้เครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตฐาน เพราะอาจมีสารที่ทำให้เกิดฝ้าได้ โดยเฉพาะครีมหน้าขาว ที่โฆษณาเห็นผลเร็ว เห็นผลไว มักเต็มไปด้วยสารปรอทครับ และสารเคมีเหล่านี้จะทำร้ายผิว และเป็นต้นเหตุทำให้เกิดฝ้าได้ด้วย
ฝ้า กระ จุดด่างดำ เกิดจากอะไรคงเป็นคำถามที่ใคร ๆ สงสัย หากเรารู้สาเหตุการเกิดปัญหาผิวเหล่านี้ก็จะสามารถรู้วิธีรับมือกับปัญหาผิวต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง
- สาเหตุหลักของการเกิดฝ้า มักขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก อย่างรังสียูวีจากแสงแดดและแสงจากอุปกรณ์ในตัวอาคารอย่างหลอดไฟหรือหน้าจอคอมพิวเตอร์ล้วนแต่มีรังสียูวีที่กระตุ้นการผลิตเม็ดสี(เมลานิน)ภายใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดเป็นฝ้าที่มีลักษณะเป็นปื้นสีบนผิว มักเกิดบนใบหน้า
- สาเหตุหลักของการเกิดกระ เกิดได้จากทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน ปัจจัยภายนอกได้แก่รังสียูวีจากแสงแดดและแสงจากอุปกรณ์ในตัวอาคาร ปัจจัยภายในได้แก่กรรมพันธุ์และฮอร์โมน ทำให้กระเกิดได้ทั้งตามบริเวณหลัง แขน ขา ไม่ได้จำกัดแค่บริเวณใบหน้าเท่านั้น ลักษณะมักเป็นจุด
- สาเหตุหลักของการเกิดจุดด่างดำ มักเป็นการอักเสบของผิวหนังที่มีการทิ้งรอยด่างดำไว้ และรอยดังกล่าวมีความเข้มขึ้นได้หากมีปัจจัยภายนอกอย่างรังสียูวีมากระตุ้นการผลิตเม็ดสีภายใต้ผิวหนัง
หลังจากที่เราทราบแล้วว่าฝ้า กระ จุดด่างดำคืออะไร สาเหตุของการการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำคร่าว ๆ คืออะไร เรามาดูกันว่าสาเหตุเกิดฝ้าขึ้นหน้าหลัก ๆ มีปัจจัยใดบ้าง ได้แก่
1. แสงแดดและรังสี UV
แสงแดดและรังสียูวี ประกอบไปด้วย UVA UVB และ UBC ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เกิด ผิวไหม้แดด ผิวคล้ำ หรือ หน้าหมองคล้ำ นอกจากจะเป็นตัวกระตุ้นให้ผิวเสื่อมสภาพก่อนวัยแล้ว ยังเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้มีการผลิตเม็ดสีเพิ่มขึ้นภายใต้ชั้นผิวหนัง การที่ผิวเผชิญกับรังสียูวีเป็นระยะเวลานานและสะสมจะทำให้เกิดเป็นฝ้า กระ จุดด่างดำในเวลาต่อมาได้ รวมถึงการทำให้มีสีที่เข้มขึ้น มองเห็นได้ชัดเจนกว่าเดิมด้วย
2. อายุและช่วงวัย
จากการวิจัยต่างๆ พบว่าฝ้า กระ จุดด่างดำ มักเกิดในกลุ่มคนที่อยู่ในช่วงอายุวัย 30 ขึ้นไปโดยเฉพาะผู้หญิงในช่วงวัย 40 ปี
3. กรรมพันธุ์
กรรมพันธุ์เองก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ร่างกายของแต่ละบุคคลมีการผลิตเม็ดสีที่ต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีสีผิวขาวซึ่งจะเห็นฝ้า กระ และจุดด่างดำค่อนข้างชัดเจน หากบุคคลในครอบครัวมีประวัติหน้าเป็นฝ้า ผิวมีกระ แปลว่าสมาชิกในครอบครัวมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาผิวแบบเดียวกันได้
4. ภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล
ภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลสามารถเกิดได้ในผู้หญิงในช่วงอายุ 40 ปีขึ้นไปซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายเริ่มมีประจำเดือนน้อยลง เข้าสู่ช่วงหมดประจำเดือน โดยการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนที่ยังไม่คงที่อาจส่งผลให้การผลิตเม็ดสีในชั้นผิวหนังมีความผิดปกติ เกิดเป็นปัญหาผิวฝ้ากระได้
5. ยาบางชนิด
การใช้ยาบางชนิดอาจส่งผลต่อการผลิตเม็ดสีของร่างกาย เช่นยาคุมกำเนิดซึ่งส่งผลต่อฮอร์โมน หรือยากันชักบางตัวเนื่องจากผลวิจัยพบว่าผู้ที่มีการใช้ยากันชักมักพบฝ้าขึ้นบริเวณกรอบของใบหน้า
6. การใช้เครื่องสำอางไม่มีคุณภาพ
การใช้เครื่องสำอางไม่มีคุณภาพ ไม่ได้รับมาตรฐาน อาจส่งผลให้ผิวเกิดความระคายเคืองและเกิดฝ้ากระได้ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้ในรูปแบบของผื่น สิว ซึ่งสามารถเกิดอาการอักเสบ ทิ้งรอยแดงหรือจุดด่างดำหลงเหลือในภายหลังได้
7. โรคอื่นๆ
โรคหรืออาการเจ็บป่วยอื่นอาจส่งผลให้เกิดฝ้ากระหรือรอยดำบนผิวได้ เนื่องจากโรคบางชนิด เช่น การเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับต่อมไร้ท่อ จะมีผลกระทบต่อการผลิตฮอร์โมนภายในร่างกาย หรือส่งผลให้บริโภคยาบางประเภทซึ่งส่งผลให้เกิดการผลิตเม็ดสีได้